You are currently viewing น้ำหอมมีวันหมดอายุหรือไม่

น้ำหอมมีวันหมดอายุหรือไม่

หลายท่านอาจไม่เคยสังเกตหรืออาจเคยสังเกตวันหมดอายุของน้ำหอม แต่ส่วนใหญ่นั้นวันหมดอายุของน้ำหอมจะปรากฏไม่เกิน 2 ปีตามกฏหมาย อย. เครื่องสำอาง ของไทยและสากล แต่แท้จริงแล้วการหมดอายุของน้ำหอมเป็นอย่างไร? สามารถใช้งานต่อได้หรือไม่? หรือขวดน้ำหอมอันล้ำค่าราคาเฉียดหมื่นต้องวางไว้บนตู้โชว์หรือทิ้งลงไปในถังขยะอย่างน่าเสียดาย

น้ำหอมหมดอายุหรือไม่?

“น้ำหอมทำมาจากส่วนผสมที่มีกลิ่นหอมต่างๆ ซึ่งประกอบไปด้วยกลิ่นเบสโน้ต มิดเดิ้ลโน้ต และท็อปโน้ต ซึ่งอาจจะถูกผลิตมาจากแหล่งธรรมชาติหรือสารสังเคราะห์ก็ได้”

โดยปกติแล้วน้ำหอมไม่ได้หมดอายุในความหมายเดียวกับเครื่องสำอางประเภทอื่นๆ หรืออาหาร บางครั้งบางขวดสามารถใช้ได้นานถึง 5 ปี หรือมากกว่านั้น ซึ่งส่วนใหญ่การหมดอายุของน้ำหอมเกิดจากเลยระยะเวลาของค่าคงตัวหรือหมดความเสถียรของกลิ่น หรือกล่าวคือ เมื่อมีการผลิตน้ำหอมในช่วงแรก สารต่างๆ ที่เป็นสารประกอบในน้ำหอมจะวิ่งเข้าหากันและโมเลกุลของสารหอมจะจับตัวกันเหมือน “เลโก้” ซึ่งเป็นเหตุให้กลิ่นน้ำหอมที่เพิ่งถูกผลิตมีกลิ่นที่ไม่เสถียร ทำให้ผู้ผลิตน้ำหอมต้องทำการพักน้ำหอมหรือหมักน้ำหอมก่อนในภาชนะปิดทึบและเหลืออากาศให้น้อยที่สุด เพื่อให้น้ำหอมอยู่ในจุดที่เสถียรและมีกลิ่นที่คงตัวก่อนบรรจุลงในขวดและพร้อมวางจำหน่าย

เมื่อเวลาผ่านไปองค์ประกอบของน้ำหอมจะค่อยเปลี่ยนไปอย่างช้าๆ จนเราแทบแยกความต่างของกลิ่นไม่ได้ ซึ่งเราจะเรียกว่า “จุดคงตัวของกลิ่น” หรือจุดที่น้ำหอมเสถียรที่สุด แต่เมื่อถึงจุดๆ หนึ่งที่กลิ่นน้ำหอมเลยจุดคงตัว กลิ่นน้ำหอมก็จะเปลี่ยนไปอย่างรวดเร็วอีกครั้งจนจมูกของเราสามารถจับกลิ่นที่เปลี่ยนไปได้ นั่นก็คือวันหมดอายุของน้ำหอมกลิ่นนั้นๆ และสิ่งที่มีผลต่อค่าคงตัวของกลิ่นน้ำหอมโดยตรงมากที่สุดก็คือ การเกิดออกซิไดซ์ (oxidized) นั่นเอง กล่าวอีกนัยหนึ่งก็คือ ในขวดน้ำหอมของเรามีออกซิเจนมากเกินไป เพราะยิ่งมีออกซิเจนเหนือผิวน้ำหอมมากเท่าไหร่ สารต่างๆก็จะยิ่งออกซิไดซ์ได้เร็วขึ้น ส่งผลให้โมเลกุลของน้ำหอมมีการเปลี่ยนแปลงไป ซึ่งหากคุณอยากเก็บรักษาน้ำหอมสุดโปรดของคุณ คุณควรที่จะถ่ายน้ำหอมกลิ่นนั้นลงไปในอีกขวดหนึ่งที่มีพื้นที่น้อยกว่าและทำให้พื้นที่สำหรับอากาศเหลือน้อยที่สุดเท่าที่จะทำได้

การเกิดออกซิเดชัน (oxidation) จะเกิดกับช่วงท็อปโน้ตและสารบางประเภทที่ไวต่อการออกซิเดชันก่อน เช่น กลิ่นซิตรัส กลิ่นอะโรมาติก แต่ก็ขึ้นอยู่กับน้ำหอมในแต่ละสูตรที่มีแนวโน้มที่จะเกิดปฏิกิริยาออกซิไดซ์ที่แตกต่างกัน จึงเป็นเหตุผลว่าทำไมน้ำหอมบางชนิดมีอายุการใช้งานยาวนานกว่าสูตรอื่นๆ ยกตัวอย่างน้ำหอมตระกูล Chypre ที่มีความเข้มข้นของ Patchouli ค่อนข้างสูงส่งผลให้เกิดการออกซิเดไดซ์ช้าถึงแม้ว่าจะมี Bergamot เป็นส่วนประกอบก็ตาม

จะรู้ได้อย่างไรว่าน้ำหอมของคุณหมดอายุ 

“กลิ่นของท็อปโน้ตมักจะมีการเปลี่ยนแปลงอย่างเห็นได้ชัดและสีของน้ำหอมก็อาจเปลี่ยนไปเช่นกัน”

น้ำหอมส่วนใหญ่ที่มีโทนสีเหลืองหรือใส สามารถเปลี่ยนเป็นสีน้ำตาลเข้มได้และมีกลิ่นที่เปลี่ยนไป

แต่ในบางกรณีถึงแม้สีของน้ำหอมจะเปลี่ยนไป แต่กลิ่นกลับไม่เปลี่ยน ซึ่งขึ้นอยู่กับส่วนประกอบของน้ำหอมกลิ่นนั้นๆ ด้วย”


กลิ่นที่ติดทนนานที่สุด ส่วนใหญ่มักจะมีความเสถียรทางเคมีสูง เช่น โน้ตไม้ อำพัน และหนัง ค่อนข้างมีความเสถียรที่สูง แม้หลังจากผ่านไปมากกว่าสามปี

ในขณะเดียวกันน้ำหอมที่มีปริมาณแอลกอฮอล์สูงมักจะอยู่ได้นานที่สุดเนื่องจากแอลกอฮอล์จะป้องกันไม่ให้โมเลกุลกลิ่นเกิดการออกซิไดซ์ แต่ไม่ได้หมายความว่า น้ำหอมระดับ Eau de Cologne จะมีอายุการใช้งานที่นานกว่า Eau de Parfum เพราะ Eau de Cologne หลายสูตรมักจะมีน้ำเป็นส่วนประกอบในประมาณมากเพื่อลดอัตราการระเหยของแอลกอฮอล์เมื่อเทียบกับ Eau de Parfum

คุณอาจคิดว่าแอลกอฮอล์เป็นส่วนผสมที่ควรหลีกเลี่ยงในผลิตภัณฑ์เพื่อความงาม แต่เมื่อพูดถึงน้ำหอม แอลกอฮอล์กลับเป็นสารกันเสียหลักโดยธรรมชาติสำหรับความสมบูรณ์ของน้ำหอม

บทบาทของแอลกอฮอล์เป็นกุญแจสำคัญและใช้เป็นสารกันบูดในน้ำหอมมาตั้งแต่สมัยโบราณ ชาวเวนิส (Venetians) คิดค้นเทคนิคนี้ เมื่อพวกเขาเริ่มซื้อขายน้ำหอมที่ผลิตในอิตาลีและยุโรป กลิ่นของพวกมันมีคุณสมบัติในการยืดอายุที่ยาวนานของน้ำหอม เมื่อเทียบกับน้ำหอมรุ่นก่อนๆ ที่ทำด้วยน้ำมัน และหากคุณตั้งข้อสังเกตว่าเป็นความเข้มข้นที่ประกอบด้วย ส่วนผสมที่แตกต่างกันหลายสิบชนิด โมเลกุลจากธรรมชาติหรือสังเคราะห์ ซึ่งสามารถเติมสาร BHT หรือสารกันบูดและตัวกรองรังสียูวีบางตัวเพื่อเพิ่มอายุขัยและความคงตัวของกลิ่นหอมให้สูงสุด 

และถึงแม้ว่าน้ำหอมสะอาด (Clean Fragrances) ที่ปราศจากแอลกอฮอล์ และผลิตขึ้นมาจากธรรมชาติ 100 % จะดึงดูดผู้ที่มองหากิจวัตรด้านความงามที่ปลอดสารพิษ แต่น้ำหอมประเภทนี้มักจะสูญเสียสภาพไปอย่างรวดเร็วหรือกล่าวคือ

“ถ้าน้ำหอมที่ไม่มีแอลกอฮอล์ซึ่งทำหน้าที่เป็นสารกันเสีย ก็จะมีอายุการเก็บรักษาสั้นลงและโดยทั่วไปแล้ว โมเลกุลตามธรรมชาติจะมีความเสถียรน้อยกว่าสารสังเคราะห์”

การตัดสินใจเลือกสิ่งที่สำคัญสำหรับคุณในน้ำหอมคือสิ่งสำคัญและอีกข้อสำคัญก็คือ Clean Fragrances ทั้งหมดในแต่ละรอบการผลิตจะมีกลิ่นที่ไม่เหมือนกัน

 

วิธีทำให้น้ำหอมของคุณมีอายุที่ยาวนานขึ้น

  • เก็บน้ำหอมให้พ้นแสง: แม้ว่าการวางขวดน้ำหอมไว้บนขอบหน้าต่างหรือใกล้แสงอาจจะดูสวยงาม แต่นี่เป็นสถานที่ที่เลวร้ายที่สุดในการจัดเก็บน้ำหอมหากคุณต้องการรักษาความสมบูรณ์ของน้ำหอม เพราะแสงจะทำลายโมเลกุลของกลิ่นหอมทำให้องค์ประกอบของน้ำหอมไม่เสถียรและมีแนวโน้มที่จะเกิดออกซิเดชัน
  • เก็บน้ำหอมให้ห่างจากความร้อน (และความชื้น): ความร้อนจะทำลายโมเลกุลของน้ำหอมและทำให้สารเคมีเปลี่ยนแปลงไป เราแนะนำให้คุณเก็บกลิ่นหอมไว้ต่ำกว่า 15-25 องศาเซลเซียส แต่เนื่องจากประเทศไทยเป็นเมืองร้อนทำให้การควบคุมอุณหถูมิเป็นเรื่องยาก ดังนั้นการเก็บน้ำหอมในตู้เสื้อผ้าอาจเป็นความคิดที่ดีที่สุดสำหรับการยืดอายุน้ำหอม และข้อสำคัญคือควรหลีกเลี่ยงการเก็บน้ำหอมในห้องน้ำ
  • เปลี่ยนภาชนะบรรจุ: เมื่อน้ำหอมถูกใช้ไปครึ่งหนึ่ง ออกซิเจนภายในจะเพิ่มความเสี่ยงของการเปลี่ยนแปลง คุณอาจหาภาชนะหรือขวดบรรจุใหม่ที่มีขนาดเล็กลงเพื่อถ่ายน้ำหอมจากขวดหลัก เพื่อลดพื้นที่ออกซิเจนในขวด
  • อย่าเก็บในตู้เย็น: สำหรับการเก็บในตู้เย็นหลายคนอาจมองว่าเป็นความคิดที่ดี แต่สำหรับในเมืองไทยที่เป็นเมืองร้อน การเปิดตู้เย็นทุกครั้งจะทำให้เกิดการควบแน่นและทำให้ในตู้เย็นเกิดความชื้นภายใน ยิ่งเปิดปิดตู้เย็นบ่อยครั้งก็ยิ่งทำให้อากาศในตู้เย็นเกิดความชื้นมากขึ้นเท่านั้นและเป็นปัจจัยเสี่ยงสำหรับอายุของน้ำหอม

แล้วน้ำหอมที่ยังไม่ได้เปิดใช้งานจะอยู่ได้นานแค่ไหน?

น้ำหอมที่ยังไม่ได้เปิดใช้งานและเก็บในที่แห้ง เย็น และมืด สามารถอยู่ได้นานหลายปี ตั้งแต่สองถึงสามปีขึ้นไป หรืออาจอยู่ได้ถึงสิบปีเลยทีเดียว ขึ้นอยู่กับประเภทของน้ำหอมและสภาพการเก็บรักษา แต่ก็ยังมีโอกาศพบเจอกลิ่นหมักคล้ายเหล้าองุ่นในน้ำหอมด้วย

การใช้น้ำหอมที่หมดอายุแล้วปลอดภัยหรือไม่?

ผลิตภัณฑ์ที่เกิดการออกซิไดซ์บางชนิดอาจกลายเป็นสารระคายเคืองต่อผิวหนังและน้ำหอมบางตัวอาจมีสีที่เปลี่ยนแปลงไปและเลอะเสื้อผ้าได้  เราสามารถทำการทดสอบบนผิวจุดใดจุดหนึ่งเพื่อตรวจสอบอาการแพ้ เช่นบริเวณข้อมือของคุณ หากไม่มีการตอบสนองภายใน 24 ชั่วโมง แสดงว่าน้ำหอมนั้นสามารถใช้ได้

แต่หากคุณแพ้หรือไม่มั่นใจที่จะสเปรย์ลงบนผิว ก็ยังสามารถสเปรย์ลงบนเสื้อผ้าหรือกางเกงได้ถ้าน้ำหอมนั้นไม่ได้ทำให้เสื้อผ้าคุณด่าง หรืออีกหนึ่งวิธีที่น่าสนใจคือการฉีดลงบนกระดาษหรือสำลี แล้วแนบไว้ในกระเป๋าเสื้อหรือในกระเป๋าที่คุณพกติดตัว  เพื่อหลีกเลี่ยงการสัมผัสน้ำหอมนั้นโดยตรง